----------------------
w

Excellent Reviews

18th Year Anniversary

100% Satisfaction

Best Price Guarantee

Professional Service

Office Hour

Mon-Sat 09.00-18.00

Advisor Support

082 020 2862

MENU

เว็บไซต์ติดไวรัส วิธีการป้องกันและแก้ไข เว็บไซต์ติดไวรัส

1. ไวรัสคืออะไร??

ไวรัสในเว็บไซต์ (Web-based malware) หรือที่เรียกว่ามัลแวร์ (Web malware) คือโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่ถูกออกแบบเพื่อทำความเสียหายหรือทำลายข้อมูลบนเว็บไซต์หรือในอุปกรณ์ของผู้ใช้ที่เข้าชมเว็บไซต์นั้น ๆ โดยส่วนใหญ่มัลแวร์ที่เผยแพร่ผ่านเว็บไซต์จะมีวัตถุประสงค์เพื่อขโมยข้อมูลส่วนตัว, ทำลายข้อมูล หรือระบาดและแพร่กระจายไปยังเครือข่ายอื่น ๆ หรืออุปกรณ์ที่เชื่อมต่อกับเว็บไซต์นั้น ๆ

เว็บไซต์ติดไวรัสจะมีลักษณะต่าง ๆ ได้รับแบ่งออกเป็นหลายประเภทเช่น

  •  ไวรัส (Viruses) คือโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่สามารถแทรกตัวเข้าไปในโค้ดของเว็บไซต์หรือไฟล์ต่าง ๆ เพื่อทำลายข้อมูลหรือทำความเสียหาย
  • โทรจัน (Trojans) โปรแกรมที่แสวงหาการเข้ารหัสลับข้อมูลของผู้ใช้หรือทำการควบคุมระบบโดยที่ผู้ใช้ไม่รู้ตัว โทรจันทำงานโดยการปกปิดตัวเองในซอฟต์แวร์หรือไฟล์ที่ดูเหมือนได้รับการยอมรับ หรือมีประโยชน์ในการใช้งาน เมื่อผู้ใช้ทำการดาวน์โหลดหรือติดตั้งโทรจัน มันก็เริ่มทำงานโดยซ่อนตัวและทำภารกิจต่าง ๆ ที่ผู้ไม่ประสงค์ดีต้องการ เช่น

–  การควบคุมระบบ โทรจันสามารถควบคุมของระบบคอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์ของผู้ใช้ได้ ทำให้ผู้ไม่ประสงค์ดีสามารถดำเนินการทำลายข้อมูล, ขโมยข้อมูลหรือกระทำการที่เป็นอันตรายได้

–  การแฝงโค้ดที่อันตราย  โทรจันอาจทำการแฝงโค้ดที่อันตรายลงในระบบ ทำให้มีโอกาสในการทำลายไฟล์, ครอบครองข้อมูลหรือกระทำกิจกรรมที่ไม่ถูกต้อง.

–  โจมตีบริเวณกว้าง  โทรจันอาจเป็นส่วนหนึ่งของการโจมตีหลายขั้นตอน เป็นตัวกลางที่ใช้เปิดทางให้มัลแวร์อื่น ๆ เข้าถึงระบบ

  •  มัลแวร์ล็อกเกอร์ (Keyloggers) เป็นโปรแกรมมัลแวร์ที่ถูกออกแบบมาเพื่อบันทึกการกดคีย์บอร์ด (keyboard input) โดยลับหลังจากผู้ใช้ป้อนข้อมูลผ่านคีย์บอร์ด โปรแกรมนี้บันทึกข้อมูลที่ถูกป้อนเป็นล็อก (log) ซึ่งสามารถนำไปใช้ในวัตถุประสงค์ต่าง ๆ ที่มัลแวร์นี้ถูกสร้างขึ้น ล็อกเกอร์มักถูกนำมาใช้เพื่อดักรับข้อมูลที่มีค่าเช่น
    –  ข้อมูลการเข้ารหัส (Credentials) มัลแวร์ล็อกเกอร์สามารถบันทึกชื่อผู้ใช้และรหัสผ่านที่ผู้ใช้ป้อนเข้าสู่ระบบ เช่นเข้าสู่บัญชีอีเมล, บัญชีธนาคาร หรือแพลตฟอร์มอื่น ๆ
    –  ข้อมูลการเข้าชมเว็บไซต์ ล็อกเกอร์สามารถบันทึก URL ของเว็บไซต์ที่ผู้ใช้เข้าชม ทำให้ผู้ไม่ประสงค์ดีทราบถึงกิจกรรมออนไลน์ของเหยื่อ.
    –  ข้อมูลส่วนตัว ข้อมูลส่วนตัวที่ผู้ใช้ป้อน เช่นที่อยู่, เบอร์โทรศัพท์ หรือข้อมูลส่วนตัวอื่น ๆ ที่ผู้ไม่ประสงค์ดีอาจสนใจ
    –  ข้อมูลการทำธุรกรรม ล็อกเกอร์สามารถบันทึกข้อมูลเกี่ยวกับการทำธุรกรรมออนไลน์ เช่น การซื้อขายออนไลน์ หรือการกระทำทางการเงินอื่น ๆ  มัลแวร์ล็อกเกอร์สามารถกระทำอย่างลับ ๆ โดยไม่ทำให้ผู้ใช้ทราบและมักถูกนำเข้ามาผ่านการติดตั้งโปรแกรมหรือไฟล์ที่ไม่น่าเชื่อถือ
  • ไวรัสร้าย (Malicious scripts) โค้ดที่ทำงานบนเว็บไซต์และสามารถทำความเสียหายหรือทำงานไม่ถูกต้องในอุปกรณ์ของผู้ใช้.
  • มัลแวร์ร้ายแรง (Ransomware) โปรแกรมที่เข้ารหัสข้อมูลในอุปกรณ์ของผู้ใช้แล้วขอเงินค่าไถ่เพื่อให้ผู้ใช้กู้คืนข้อมูล
  • การโจมตีผู้ใช้ (Social Engineering) การใช้เทคนิคโซเชียล เอ็นจิเนียริ่ง เพื่อหลอกลวงผู้ใช้เข้าไปยังเว็บไซต์ที่มีมัลแวร์
  • การโจมตีแบบ Cross-Site Scripting (XSS) การใส่โค้ด JavaScript ที่อันตรายลงในเว็บไซต์เพื่อทำลายหรือขโมยข้อมูลจากผู้ใช้
  • การโจมตีแบบ SQL Injection คือการป้อนข้อมูลที่ไม่ถูกต้องที่สามารถโจมตีฐานข้อมูลของเว็บไซต์ได้

2. ทำไมเว็บไซต์ติดไวรัส?

เว็บไซต์ติดไวรัสสามารถเกิดขึ้นได้หลายสาเหตุ โดยเราสามารถสรุปได้ดังนี้

  1. โปรแกรมที่ไม่ปลอดภัย เว็บไซต์ที่ไม่ปลอดภัยอาจใช้โปรแกรมที่มีช่องโหว่หรือมีรหัสที่ไม่ปลอดภัย ซึ่งทำให้มีโอกาสที่ผู้ไม่ประสงค์ดีจะสามารถแทรกโค้ดที่อันตรายได้
  2. ช่องโหว่ของเว็บเบราว์เซอร์ บางครั้งการมีช่องโหว่ในเว็บเบราว์เซอร์ที่ทำให้เว็บไซต์นั้นๆ สามารถถูกโจมตีได้ ผู้ไม่ประสงค์ดีอาจใช้ช่องโหว่เหล่านี้เพื่อติดตั้งโค้ดที่อันตรายหรือโปรแกรมมัลแวร์
  3. การใช้ Plug in ที่ไม่ได้มาตรฐาน ส่วนมากจะเป็น free Plug in ไม่ควรดาว์นโหลดมาใช้งาน
  4. การใช้ theme  theme free ส่วนมากมักจะเป็นช่องโหว่ของไวรัส ควรศึกษาให้ดีก่อนการใช้งาน
  5. การใช้ไฟล์ดัดแปลงจากแหล่งที่ไม่น่าเชื่อถืออาจมีผู้ไม่ประสงค์ดีอาจแทรกโค้ดที่อันตรายลงในไฟล์ของเว็บไซต์ หรือแทนที่ไฟล์ด้วยไฟล์ที่มีโค้ดที่ไม่ปลอดภัย


3.  เว็บไซต์ติดไวรัสแล้วเกิดอะไรขึ้น?

เว็บไซต์ติดไวรัสสามารถมีผลกระทบทางเทคนิคและทางการใช้งาน และอาจเกิดการขโมยเงินในธนาคารต่อผู้ใช้ได้โดยมีลักษณะต่าง ๆ ดังนี้

 ความเสียหายทางเทคนิค

– การเข้าถึงข้อมูล ไวรัสสามารถทำให้ผู้ไม่ประสงค์ดีได้รับการเข้าถึงข้อมูลที่อยู่ในเว็บไซต์เช่นฐานข้อมูล, ไฟล์สคริปต์ หรือข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้

– การทำลายข้อมูล ไวรัสสามารถทำลายหรือเปลี่ยนแปลงข้อมูลที่อยู่ในระบบ ทำให้เว็บไซต์ไม่สามารถทำงานได้อย่างปกติ.

– การแทรกโค้ดที่อันตราย ไวรัสสามารถแทรกโค้ดที่อันตรายลงในเว็บไซต์ ทำให้ผู้ใช้ที่เข้าชมเว็บไซต์นั้นเสี่ยงต่อการติดเชื้อหรือการโจมตี

ความเสียหายทางการใช้งาน

– ข้อมูลส่วนตัวถูกขโมย ไวรัสที่ถูกติดในเว็บไซต์สามารถใช้เพื่อขโมยข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้เช่น ชื่อผู้ใช้, รหัสผ่าน หรือข้อมูลบัตรเครดิต

– การโจมตีผู้ใช้ ไวรัสอาจถูกใช้ในการโจมตีผู้ใช้โดยการแสดงข้อความหลอกลวง, การเพิ่มลิงก์ที่อันตราย หรือการเปลี่ยนเนื้อหาของเว็บไซต์.

– การกระทำที่เป็นอันตรายต่อผู้ใช้ ไวรัสสามารถทำให้ผู้ใช้ต้องเผชิญกับการโจมตีด้านความเป็นส่วนตัวหรือความปลอดภัยของข้อมูล

เว็บไซต์ของคุณจะถูกปิดกั้นการค้นพบของ google คุณจะไม่ได้รับการใช้แพลตฟอร์มโฆษณาของ google ได้ กรณีที่ติดไวรัสร้ายแรงเช่น Torjan google จะขึ้นแสดงเว็บไซต์อันตรายใน Browser

การระบาดและการแพร่กระจาย

– การติดตั้งไวรัสในอุปกรณ์ผู้ใช้ ไวรัสที่ติดตั้งบนเว็บไซต์อาจกระทบต่ออุปกรณ์ของผู้ใช้ที่เข้าชมเว็บไซต์นั้นๆ

– การแพร่กระจายไปยังเว็บไซต์อื่น ไวรัสสามารถแพร่กระจายไปยังเว็บไซต์อื่นๆ ทำให้มีการระบาดของมัลแวร์

3. วิธีป้องกันเว็บไซต์ติดไวรัส

การป้องกันเว็บไซต์ติดไวรัส เป็นกระบวนการที่มีความสำคัญเพื่อรักษาความปลอดภัยของข้อมูลและผู้ใช้ของคุณ โดยที่สามารถช่วยป้องกันไวรัสในเว็บไซต์ได้ดังนี้

  1. อัปเดตระบบและซอฟต์แวร์ การอัปเดตระบบปฏิบัติการ, เซิร์ฟเวอร์และซอฟต์แวร์ทั้งหมดเป็นประจำเพื่อปิดทุกระเบียบการรั่วไหลของความปลอดภัย
  2. ใช้การเชื่อมต่อที่ปลอดภัยผ่านโพรโทคอล HTTPS เพื่อการสื่อสารที่ปลอดภัยระหว่างเว็บไซต์และผู้ใช้.
  3. ติดตั้งและกำหนดค่า Firewall เพื่อควบคุมการเข้าถึงที่เว็บไซต์ของคุณ.
  4. ตรวจสอบ Input Validation คือทำการตรวจสอบและกรองข้อมูลที่ผู้ใช้ป้อนเข้าสู่ระบบเพื่อป้องกันการโจมตีแบบ SQL injection หรือ Cross-Site Scripting (XSS).
  5. ป้องกันการทำลายข้อมูล (Data Backup) สร้างการสำรองข้อมูล (backup) ประจำเพื่อที่จะสามารถกู้คืนข้อมูลหากถูกทำลายหรือถูกไวรัสทำลาย.
  6. ใช้ความปลอดภัยในระบบเว็บ ใช้เทคนิคความปลอดภัยเว็บที่แข็งแกร่ง เช่น Content Security Policy (CSP) เพื่อป้องกันการทำลายข้อมูลและการโจมตีต่าง ๆ.
  7. ตรวจสอบรหัสที่น่าเชื่อถือ รีวิวและตรวจสอบโค้ดของเว็บไซต์เพื่อค้นหาช่องโหว่ที่เปิดเผยข้อมูลหรือทำให้เว็บไซต์เป็นเป้าหมายของการโจมตี.
  8. ให้สิทธิ์ในการเข้าถึง การจำกัดสิทธิ์ของผู้ใช้และเฉพาะให้สิทธิ์ที่จำเป็นต่อเว็บไซต์ เพื่อลดความเสี่ยงของการนำไวรัสเข้ามา.
  9. ตรวจสอบเว็บไซต์เป็นประจำ โดยการตรวจสอบความปลอดภัยของเว็บไซต์ เช่นการสแกนไวรัสและประจำการทดสอบช่องโหว่.
  10. การจัดการการเข้าถึงข้อมูล จัดการสิทธิ์การเข้าถึงข้อมูลอย่างระมัดระวัง ให้เพียงคนที่จำเป็นเท่านั้นที่มีสิทธิ์ในการแก้ไขหรือดูข้อมูลที่สำคัญ.

4. การแก้ไขเว็บไซต์ติดเว็บไซต์

การแก้ไขเว็บไซต์ที่ติดไวรัสเป็นกระบวนการที่ต้องระมัดระวัง เนื่องจากไวรัสสามารถทำความเสียหายกับข้อมูลและความเชื่อถือได้มาก โดยสามารถทำเพื่อแก้ไขเว็บไซต์ที่ติดไวรัสได้ดังนี้

  1. ตรวจสอบเว็บไซต์ ใช้เครื่องมือตรวจสอบไวรัสออนไลน์ เช่น Google Safe Browsing, Sucuri SiteCheck หรือ VirusTotal เพื่อตรวจสอบว่าเว็บไซต์ของคุณมีไวรัสหรือไม่
  2. เข้าสู่ระบบเว็บโฮสต์ เข้าสู่ระบบที่ใช้ในการจัดการเว็บไซต์ของคุณ (cPanel, Plesk หรือระบบจัดการอื่น ๆ)
  3. สำรองข้อมูล คือทำการสำรองข้อมูลเว็บไซต์และฐานข้อมูลก่อนที่จะทำการลบหรือแก้ไขไฟล์
  4. ปรับแต่งรหัสผ่าน เปลี่ยนรหัสผ่านของระบบเว็บโฮสต์, FTP และฐานข้อมูล.
  5. อัพเดตซอฟต์แวร์ที่ใช้บนเว็บไซต์ เช่น CMS (WordPress, Joomla), plugins, themes เป็นต้น
  6. สแกนไฟล์ ใช้โปรแกรมตรวจสอบไวรัส เพื่อสแกนไฟล์บนเซิร์ฟเวอร์.
  7. ลบไฟล์ที่ติดมัลแวร์หรือไวรัส ค้นหาไฟล์ที่มีโค้ดที่ไม่ควรจะอยู่ในเว็บไซต์.
  8. เปลี่ยนชื่อไฟล์ต่าง ๆ คือการเปลี่ยนชื่อไฟล์ที่สำคัญ เช่น index.php เป็นชื่อที่ไม่คาดเดาได้.
  9. ติดตั้งช่องโหว่ประจำเว็บไซต์ ปรับแต่งการตั้งค่าที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัย เช่นการปิดการเปิดใช้งาน directory listing.
  10. แจ้งเจ้าหน้าที่ ในกรณีที่เราไม่สามารถแก้ไขได้ แจ้งให้เจ้าหน้าที่ของเว็บโฮสต์หรือผู้ดูแลระบบทราบ
  11. เปลี่ยน Password ของผู้ใช้ ถ้ามีผู้ใช้หลายคน เช่นผู้ดูแลระบบหรือผู้เข้าใช้ CMS ให้เปลี่ยนรหัสผ่านของพวกเขาด้วย.
  12. ปฏิบัติตามแนวทางการรักษาความปลอดภัยของเว็บไซต์ เช่น Content Security Policy (CSP), HTTP Strict Transport Security (HSTS) และการตั้งค่าความปลอดภัยของฐานข้อมูล.
  13. ทดสอบเว็บไซต์เพื่อตรวจสอบว่าปัญหาไวรัสได้ถูกแก้ไขหรือไม่
  14. ป้องกันอนาจาร ติดตั้งเครื่องมือป้องกันอนาจารบนเว็บไซต์เช่น Web Application Firewall (WAF).
  15. ปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญ การปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยที่สามารถช่วยคุณวิเคราะห์และแก้ไขปัญหาไวรัส

การแก้ไขเว็บไซต์ที่ติดไวรัสเป็นกระบวนการซับซ้อนและขึ้นอยู่กับลักษณะของการรุกราน ควรดำเนินการอย่างรอบคอบและระมัดระวังเพื่อปกป้องเว็บไซต์ของคุณ.