----------------------
w

Excellent Reviews

18th Year Anniversary

100% Satisfaction

Best Price Guarantee

Professional Service

Office Hour

Mon-Sat 09.00-18.00

Advisor Support

082 020 2862

MENU

ทําเว็บ E-commerce ต้องมีอะไรบ้าง

การสร้างเว็บไซต์ E-commerce สามารถทำได้ด้วยหลายเทคโนโลยีและเครื่องมือต่างๆ ตามความต้องการของผู้ใช้งาน เพื่อการเริ่มต้นคุณสามารถใช้แพลตฟอร์ม E -commerce ที่มีความนิยมอย่าง WooCommerce, Shopify, Magento หรือ BigCommerce ได้ แพลตฟอร์มเหล่านี้มีความสามารถที่ดีในการสร้างร้านค้าออนไลน์ที่ใช้งานง่ายและมีฟังก์ชันการขายสินค้าที่หลากหลาย นอกจากนี้ยังมีเครื่องมืออื่นๆ เช่น WordPress ที่สามารถใช้สร้างระบบ E-commerce ได้ด้วยการใช้ปลั๊กอินเสริมเช่น WooCommerce หรือ Shopify ซึ่งเป็นทางเลือกที่ยอดเยี่ยมสำหรับผู้ที่ต้องการความยืดหยุ่นในการปรับแต่งเว็บไซต์ของตามต้องการเฉพาะของตน

หากต้องการความสามารถที่มากขึ้นและการควบคุมที่สูงขึ้นในการพัฒนา E-commerce platform คุณสามารถพัฒนาเว็บไซต์ E-commerce ของคุณด้วยการใช้ภาษาโปรแกรมต่างๆ เช่น HTML, CSS, JavaScript ร่วมกับฐานข้อมูลเช่น MySQL หรือ PostgreSQL เพื่อสร้างระบบ E-commerce ที่เป็นมากกว่าและได้รับการปรับแต่งอย่างละเอียดตามความต้องการของธุรกิจของคุณได้เองด้วยตนเอง โดยใช้ framework เช่น Laravel, Django หรือ Ruby on Rails ซึ่งมีความสามารถในการพัฒนาเว็บไซต์ E-commerce ที่มีความซับซ้อนและกว้างขึ้นได้ตามต้องการของคุณ

ความเหมาะสมของเครื่องมือและเทคโนโลยีต่างๆ ขึ้นอยู่กับความคุ้นเคยและความเข้าใจของคุณในด้านการพัฒนาเว็บไซต์ รวมถึงความต้องการและวัตถุประสงค์ของการทำเว็บ E-commerce รวมถึงงบประมาณในกระเป๋าของคุณด้วย

การทำเว็บ E-commerce ที่เป็นที่นิยมสูงสุดในปัจจุบันคือการใช้ CMS WordPress ร่วมกับ Woo Commerce ที่ทำให้คุณสามารถทำเว็บไซต์ E-commerce ได้ง่ายและรวดเร็วยิ่งขึ้น ทำให้คุณขายสินค้าได้ไวขึ้น โดยที่ไม่ต้องใช้เวลาเขียนโปรแกรมให้ยุ่งยาก เพียงลงโปรแปรม เพิ่มข้อมูล แล้วตั้งค่าต่างๆ ก็สามารถใช้งานได้เลย

E-commerce คือ

เว็บไซต์ E-commerce  หรือเว็บไซต์การค้าอิเล็กทรอนิกส์ คือเว็บไซต์ที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อทำธุรกิจการค้าขายสินค้าหรือบริการผ่านทางอินเทอร์เน็ต โดยทั้งการแสดงสินค้า, การทำธุรกรรมการซื้อขาย และการจัดการข้อมูลลูกค้าเป็นไปอย่างทั่วถึงบนแพลตฟอร์มออนไลน์

การทำเว็บ E-commerce ทำให้ธุรกิจสามารถทำธุรกิจขายของได้ทั้งในรูปแบบการซื้อขายระหว่างธุรกิจกับธุรกิจ เรียกว่าแบบ B2B (Business-to-Business) และ การซื้อขายธุรกิจกับผู้บริโภคหรือเรียกว่าแบบ B2C (Business-to-Consumer) นั่นเอง

เว็บไซต์ E-commerce มีคุณสมบัติหลายอย่างที่ช่วยสนับสนุนการซื้อขายออนไลน์คือ

  1. แสดงสินค้า ประกอบด้วยรายละเอียด, รูปภาพ, ราคาและข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับสินค้า หรือบริการที่ขาย
  2. ตะกร้าสินค้า ทำให้ผู้ใช้สามารถเลือก และจัดการสินค้าที่ต้องการซื้อได้
  3. การสั่งซื้อและชำระเงิน มีระบบทำให้ลูกค้าสามารถทำการสั่งซื้อสินค้าและทำการชำระเงินผ่านทางเว็บไซต์
  4. ระบบจัดการลูกค้า ประกอบด้วยการลงทะเบียน, การเข้าสู่ระบบ, การติดตามสถานะการสั่งซื้อ และการจัดการข้อมูลส่วนตัว
  5. ระบบจัดการสต็อก (Inventory Management) ช่วยในการเช็คสินค้าที่มีอยู่ในสต็อก และการจัดการสต็อก
  6. ระบบการจัดส่ง (Shipping System) สนับสนุนการคำนวณค่าจัดส่ง, การเลือกช่องทางจัดส่ง และการติดตามสถานะการจัดส่ง
  7. ระบบการโปรโมทและการตลาด (Marketing and Promotion) สนับสนุนการโปรโมทสินค้า, การลดราคาและโปรโมชั่นของสินค้าหรือบริการต่าง ๆ
  8. ความปลอดภัย (Security) มีระบบความปลอดภัยที่สูงสุดเพื่อปกป้องข้อมูลลูกค้า และการทำธุรกรรม
  9. การวิเคราะห์ข้อมูล (Analytics) มีระบบที่ช่วยในการวิเคราะห์ข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์, พฤติกรรมของลูกค้า และผลประโยชน์อื่น ๆ

ทำเว็บ E-commerce ต้องมีอะไรบ้าง

การทำเว็บ E-commerce เป็นกระบวนการที่ซับซ้อนและครบวงจร เพื่อให้สามารถดำเนินธุรกิจขายของออนไลน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีขั้นตอนดังนี้

  1. ระบบการจัดการสินค้า (Product Management)

– ระบบจัดการแคตตาล็อกสินค้า

– รายละเอียดสินค้าและรูปภาพ

– การจัดกลุ่มสินค้าและหมวดหมู่

  1. ระบบตะกร้าสินค้าและการสั่งซื้อ (Shopping Cart and Checkout System)

– ระบบเพิ่มสินค้าลงในตะกร้า

– การจัดการรายการสินค้าในตะกร้า

– ระบบการสั่งซื้อและชำระเงิน

  1. ระบบการชำระเงิน (Payment System)

– การรองรับวิธีการชำระเงินที่หลากหลาย เช่น บัตรเครดิต, โอนเงินหรือวอลเล็ท

– ระบบความปลอดภัยในการทำธุรกิจทางการเงิน

  1. ระบบการจัดส่งสินค้า (Shipping System)

– การคำนวณค่าจัดส่ง

– ระบบติดตามสถานะการจัดส่ง

– การจัดการที่อยู่การจัดส่ง

  1. ระบบบัญชีผู้ใช้ (User Account System)

– ระบบลงทะเบียนและเข้าสู่ระบบ

– การจัดการข้อมูลบัญชีผู้ใช้

– การตรวจสอบสถานะการสั่งซื้อ

  1. ระบบการติดต่อและบริการลูกค้า (Contact and Customer Service System)

– แบบฟอร์มติดต่อ

– ระบบการตอบกลับอัตโนมัติหรือการสนับสนุนลูกค้า

  1. ระบบการวิจัยตลาด (Marketing System)

– การโปรโมทและลดราคา

– โปรโมชั่นและส่วนลด

– ระบบส่งอีเมลทางการตลาด

  1. ระบบความปลอดภัย (Security System)

– SSL สำหรับการเชื่อมต่อที่ปลอดภัย

– การควบคุมการเข้าถึงข้อมูล

– ระบบป้องกันการโจมตี

  1. ระบบประเมินและรีวิว (Rating and Review System)

– ระบบที่ช่วยในการเก็บคะแนนและความคิดเห็นจากลูกค้า

  1. การทำ SEO (Search Engine Optimization)

– การจัดการ URL และโครงสร้างเว็บไซต์ที่เพื่อให้เหมาะสมกับการค้นหา

– การให้คำอธิบายเพื่อเพิ่มโอกาสในการปรากฏในผลการค้นหา

  1. ระบบการวิเคราะห์ข้อมูล (Analytics)

– การติดตามและวิเคราะห์ข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์

– การใช้ Google Analytics หรือเครื่องมือวิเคราะห์อื่น ๆ

การเลือกใช้แพลตฟอร์ม E-commerce ที่เหมาะสมและสามารถปรับแต่งได้ตามความต้องการของธุรกิจ เช่น WooCommerce สำหรับ WordPress, Shopify, Magento, หรือ Custom-built ซึ่งอาจจะใช้ภาษาโปรแกรมต่าง ๆ เช่น PHP, Python, Ruby, หรือ Node.js ตามความเชี่ยวชาญและความสะดวกของทีมพัฒนา

เว็บ E-Commerce เหมาะกับธุรกิจแบบไหน

การทำเว็บ E-commerce เหมาะกับหลายประเภทของธุรกิจและอุตสาหกรรมต่าง ๆ ยกตัวอย่างเช่น

  1. การค้าปลีก (Retail) ธุรกิจที่ขายสินค้าโดยตรงที่ต้องการทำณุรกิจทางออนไลน์เพื่อตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าที่ต้องการซื้อของจากร้านต่าง ๆ
  2. การค้าส่ง (Wholesale) ธุรกิจที่มุ่งเน้นการขายสินค้าทั้งกลุ่มหรือปริมาณมาก โดยตัวแทนจำหน่ายหรือธุรกิจส่งสินค้าไปยังลูกค้า
  3. การผลิตและขายสินค้าทางการเกษตร (Agricultural Products) การทำเว็บ E-commerce สามารถช่วยเกษตรกรที่จะขายผลผลิตเกษตรหรือผลิตภัณฑ์อาหารออนไลน์
  4. ธุรกิจที่มีการบริการ (Services) ไม่เฉพาะการขายสินค้า แต่ยังสามารถให้บริการอื่น ๆ เช่น การจองที่พัก, การจองตั๋วหรือบริการออนไลน์อื่น ๆ
  5. การขายสินค้าทางการแพทย์ (Healthcare Products) เช่นการขายยา, เครื่องมือแพทย์ หรือผลิตภัณฑ์ดูแลสุขภาพ
  6. การขายสินค้าทางการเทคโนโลยี (Technology Products) เช่น อุปกรณ์ไอที, โทรศัพท์มือถือ และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์
  7. การขายสินค้าทางการเครื่องดื่มและอาหาร (Food and Beverage) เช่น การขายอาหารและเครื่องดื่ม, ร้านอาหารหรือการจัดส่งอาหาร
  8. การขายสินค้าทางการศูนย์การค้า (Malls and Marketplaces) การรวมรวมผลิตภัณฑ์จากหลายๆ บริษัทไว้ในที่เดียว
  9. การขายสินค้าทางการท่องเที่ยว (Travel and Tourism) การจองที่พัก, ตั๋วเครื่องบิน หรือแพ็คเกจท่องเที่ยว
  10. การศึกษาออนไลน์ (E-learning) การขายคอร์สออนไลน์, หนังสือ หรือเนื้อหาการศึกษา
  11. การขายสินค้าทางการศิลปะและความบันเทิง (Arts and Entertainment) การขายภาพ, หนังสือ หรือสินค้าทางศิลปะ
  12. การบริการซอฟต์แวร์ (Software as a Service – SaaS) การขาย และการบริการด้านซอฟต์แวร์

อย่างไรก็ตามเพื่อให้การทำเว็บ E-commerce มีประสิทธิภาพที่สุด ควรพิจารณาวิเคราะห์ตลาดและความต้องการของกลุ่มลูกค้าเป้าหมายเพื่อปรับปรุงการตลาดและรูปแบบธุรกิจในรูปแบบออนไลน์

ประโยชน์ของการทำเว็บ E-Commerce

การทำเว็บ E-commerce นั้นมีประโยชน์มากมายทั้งสำหรับธุรกิจและลูกค้า ตัวอย่างเช่น

  1. การเข้าถึงตลาดกว้าง การทำเว็บ E-commerce ทำให้ธุรกิจสามารถเข้าถึงลูกค้าได้ตลอด 24 ชั่วโมงทุกวัน ทำให้สามารถขยายตลาดไปสู่ท้องตลาดระหว่างประเทศและสร้างโอกาสในการขายมากขึ้น
  2. ความสะดวกสบายในการซื้อขาย ลูกค้าสามารถทำการซื้อขายสินค้าหรือบริการได้ทุกที่ทุกเวลาผ่านทางอินเทอร์เน็ต ทำให้มีความสะดวกสบายและลดเวลาในการทำธุรกิจ
  3. ลดต้นทุนในการดำเนินธุรกิจ การทำเว็บ E-commerce สามารถลดต้นทุนในด้านต่าง ๆ เช่น การเช่าพื้นที่ร้าน, การจัดการสต็อกและค่าใช้จ่ายในด้านบุคคล
  4. โอกาสในการทดลองการตลาด (Market Testing) ธุรกิจสามารถทดสอบสินค้าหรือกลยุทธ์การตลาดได้โดยไม่ต้องลงทุนมาก และสามารถปรับแต่งแผนการตลาดตามผลตอบรับจากลูกค้า
  5. ข้อมูลและวิเคราะห์ลูกค้า (Customer Data and Analytics) การใช้เว็บ E-commerce ช่วยให้ธุรกิจสามารถเก็บรวบรวมข้อมูลลูกค้าได้ ซึ่งสามารถใช้ในการวิเคราะห์ และปรับปรุงกลยุทธ์การตลาด
  6. การโปรโมทและการตลาด (Marketing and Promotion) สามารถนำเสนอโปรโมชั่น, ส่วนลดและกิจกรรมการตลาดได้ง่ายขึ้น ซึ่งส่งผลให้สามารถดึงดูดลูกค้าได้มากขึ้น
  7. การบริการลูกค้า (Customer Service) ระบบเว็บ E-commerce สามารถให้บริการลูกค้าได้ตลอด 24 ชั่วโมง ทำให้ลูกค้าสามารถติดต่อและรับบริการในทุกเวลา
  8. การจัดการสต็อกที่มีประสิทธิภาพ ระบบ E-commerce ช่วยในการจัดการสต็อกอย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยลดความเสี่ยงที่จะเกิดการขาดสินค้าหรือสินค้าคงเหลือที่มีมูลค่าสูง
  9. ระบบความปลอดภัย การทำเว็บ E-commerce มีระบบความปลอดภัยที่เข้มงวด ทำให้ข้อมูลลูกค้า และการทำธุรกรรมปลอดภัย
  10. การทำ SEO (Search Engine Optimization)  สามารถช่วยเพิ่มโอกาสในการปรากฏในผลการค้นหาในเว็บไซต์การค้นหา

การใช้เว็บ E-commerce นั้นมีศักยภาพที่ใหญ่ในการเพิ่มประสิทธิภาพและการต่อเนื่องในธุรกิจทั้งในสภาพแวดล้อมทางธุรกิจและทางการตลาดออนไลน์

ข้อจำกัดของการทำเว็บ E-commerce

การทำเว็บ E-commerce มีประโยชน์มากมาย แต่ก็มีข้อจำกัดบางประการ เช่น

  1. ค่าใช้จ่ายและการดูแลรักษา การสร้างและดูแลเว็บ E-commerce อาจค่าใช้จ่ายสูงไม่ว่าจะเป็นค่าพัฒนา, ค่าบำรุงรักษาหรือค่าใช้จ่ายในการทำโปรโมท
  2. ความซับซ้อนในการดำเนินการ ระบบ E-commerce มีความซับซ้อน ทำให้การดำเนินการและการบริหารจัดการต้องมีความเข้าใจและทักษะทางเทคนิค
  3. การปรับแต่งที่จำเป็น ระบบ E-commerce ที่สร้างโดยใช้แพลตฟอร์มที่มีอยู่อาจจะมีข้อจำกัดในการปรับแต่งตามความต้องการของธุรกิจ
  4. ความปลอดภัยข้อมูล การทำเว็บ E-commerce ต้องมีระบบความปลอดภัยที่เข้มงวดเพื่อป้องกันการทำธุรกรรมที่ไม่ปลอดภัยและการเข้าถึงข้อมูลลูกค้า
  5. การเผชิญกับการแข่งขัน การทำเว็บ E-commerce อาจต้องเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรง ซึ่งต้องมีกลยุทธ์การตลาดที่ดีเพื่อยืนหยัดในตลาด
  6. ปัญหาเทคนิคที่อาจเกิดขึ้นเช่นปัญหาการใช้งาน, ข้อบกพร่องของระบบหรือปัญหาด้านเซิร์ฟเวอร์
  7. การจัดสรรทรัพยากร ในการทำเว็บ E-commerce ที่มีการใช้งานมากๆ อาจต้องการทรัพยากรระบบมากขึ้น ซึ่งอาจทำให้เกิดปัญหาประสิทธิภาพของเว็บไซต์
  8. ปัญหาการจัดส่งและการทำธุรกรรม ปัญหาเกี่ยวกับการจัดส่งสินค้า, การคืนสินค้าหรือการทำธุรกรรมทางการเงินที่ซับซ้อน
  9. ปัญหาทางกฎหมาย บางพื้นที่อาจมีข้อกำหนดทางกฎหมายที่ต้องปฏิบัติ เช่น นโยบายความเป็นส่วนตัว, การคืนเงินหรือข้อกำหนดในการทำธุรกรรม
  10. ปัญหาในการบริหารจัดการสต็อก การจัดการสต็อกอาจทำให้เกิดปัญหาเกี่ยวกับการควบคุมสต็อก, สินค้าคงคลังและการจัดส่ง

การทำเว็บ E-commerce นั้นเป็นกระบวนการที่ต้องการการวางแผนและการดูแลรักษาอย่างดีเพื่อให้สามารถให้ประสิทธิภาพและตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าได้อย่างเหมาะสม.